การนำหลักสูตรไปใช้เป็นการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน
เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย
และเป็นกิจกรรมที่เป็นขั้นตอนการปฏิบัติหลายขั้นตอน
วิธีการของกระบวนการนำหลักสูตรไปใช้
น่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรมีผู้กล่าวว่า แม้เราจะมีหลักสูตรที่ดีแสนดี
แต่ถ้านำหลักสูตรไปใช้อย่างไม่ถูกต้องแล้วหลักสูตรนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักสูตรไปใช้ จะต้องศึกษา
ทำความเข้าใจกับการนำหลักสูตรไปใช้ตามบทบาทหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ที่สุด
เพื่อให้การใช้หลักสูตรนั้น สัมฤทธิ์ผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562
บทบาทของบุคลากรในการนำหลักสูตรไปใช้
1. ผู้บริหารโรงเรียน
2. หัวหน้าหมวดวิชาหรือสาขาวิชา
3. ครูผู้สอน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักสูตรไปใช้
บทบาทของหน่วยงานส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นในการนำหลักสูตรไปใช้
1. การใช้หลักสูตรโดยหน่วยงานส่วนกลางที่มีบทบาทเต็มที่
2. การใช้หลักสูตรโดยให้โรงเรียนมีบทบาทเต็มที่
3. การใช้หลักสูตรโดยให้หน่วยงานส่วนกลางมีบทบาทเป็นส่วนใหญ่
และมีหน่วยงานท้องถิ่นเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ
4. ใช้หลักสูตรโดยให้หน่วยงานส่วนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญ
และหน่วยงานส่วนกลางเป็นผู้ให้การสนับสนุน
การประเมินหลักสูตร
1. การตรวจสอบประสิทธิผลและความตกต่ำของคุณภาพของหลักสูตร
2. การตรวจสอบหาเหตุที่ทำให้คุณภาพตกต่ำ
3.
แก้ไขและตรวจสอบประสิทธิผลของวิธีการที่นำมาแก้ไข
ขั้นตอนการนำหลักสูตรไปใช้
1. ขั้นการเตรียมการใช้หลักสูตร
-
การตรวจสอบลักษณะหลักสูตร
-
การวางแผนและการทำโครงการศึกษานำร่อง
-
การประเมินโครงการศึกษานำร่อง
-
การประชาสัมพันธ์หลักสูตร
-
การเตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
2. ขั้นดำเนินการใช้หลักสูตร
-
การบริหารและบริการหลักสูตร
-การดำเนินการเรียนการสอนตามหลักสูตร
-
การสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตร
3. ขั้นติดตามและประเมินผล
-
การนิเทศและการใช้หลักสูตรในโรงเรียน
-
การติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร
กิจกรรม/งานที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักสูตรไปใช้
สงัด อุทรานันท์ (2532 : 263-271) กล่าวว่า การนำหลักสูตรไปใช้มีงานหลัก 3
ประการ คือ
1.
งานบริหารและบริการหลักสูตร จะเกี่ยวข้องกับ งานเตรียมบุคลากร
การจัดครูเข้าสอนตามหลักสูตร การบริหารและบริการวัสดุหลักสูตร
การบริการหลักสูตรภายในโรงเรียน
2.
งานดำเนินการเรียนการสอนตามหลักสูตรประกอบด้วย
การปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น การจัดทำแผนการสอน
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
3.
งานสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตรประกอบด้วย
การนิเทศและติดตามผลการใช้หลักสูตรและการตั้งศูนย์บริการเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการใช้หลักสูตร
หลักการที่สำคัญในการนำหลักสูตรไปใช้
1. จะต้องมีการวางแผนและเตรียมการ
2.
จะต้องมีองค์คณะบุคคลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่ประสานงานกัน
3. ดำเนินการอย่างเป็นระบบ
4. คำนึงถึงปัจจัยที่จะช่วยในการนำหลักสูตรไปใช้
5. ครูเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ดังนั้น
ครูจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และจริงจัง
6. จัดตั้งให้มีหน่วยงานที่มีผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
เพื่อให้การสนับสนุนและพัฒนาครู
7. หน่วยงานและบุคคลในฝ่ายต่างๆ
ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
8. มีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะๆ
แนวคิดเกี่ยวกับการนำหลักสูตรไปใช้
โบแชมป์ (Beauchamp, 1975: 169)
กล่าวว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือ การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียน
ครูผู้นำหลักสูตรไปใช้มีหน้าที่แปลงหลักสูตรไปสู่การสอน
โดยใช้หลักสูตรเป็นหลักในการพัฒนากลวิธีการสอน
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการนำหลักสูตรไปใช้ให้ได้ผลตามเป้าหมาย
1. ครูผู้สอนควรมีส่วนร่วมในการร่างหลักสูตร
2.
ผู้บริหารต้องเห็นความสำคัญและสนับสนุนการดำเนินงานให้เกิดผลสำเร็จได้
ผู้นำที่สำคัญที่จะรับผิดชอบได้ดี คือครูใหญ่
ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้ซึ่งเป็นขั้นตอนที่นำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติงานที่มีขอบเขตกว้างขวาง
ทำให้การให้ความหมายของคำว่าการนำหลักสูตรไปใช้แตกต่างกันออกไป
นักการศึกษาหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นหรือให้คำนิยามของคำว่าการนำหลักสูตรไปใช้
ดังนี้
โบแชมป์ (Beauchamp,1975:164)ได้ให้ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้ว่า
การนำหลักสูตรไปใช้ หมายถึง การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ โดยการะบวนการที่สำคัญที่สุด
คือการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน
การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ครูได้มีพัฒนาการเรียนการสอน
สันติ ธรรมบำรุง (2527.120)กล่าวว่า การนำหลักหลักสูตรไปใช้หมายถึงการที่ผู้บริหารโรงเรียนและครูนำโครงการของหลักสูตรที่เป็นรูปเล่มนั้นไปปฏิบัติให้บังเกิดผล
รวมถึงการบริหารงานด้านวิชาการของโรงเรียนเพื่ออำนวยความสะดวกให้ครูและนักเรียนสามารถสอนและเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จันทรา (Chandra, 1977:1)
ได้ให้ความหมายของการนำหลักสูตรไปใช้ว่าเป็นการทดลองใช้เนื้อหาวิชาวิธีการสอน
เทคนิคการประเมิน การใช้อุปกรณ์การสอน
แบบเรียนและทรัพยากรต่างๆให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียน
โดยมีครูและผู้ร่างหลักสูตรเป็นผู้ปัญหาแล้วหาคำตอบให้ได้จากการประเมินผล
การนำหลักสูตรไปใช้
การนำหลักสูตรไปใช้เป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาหลักสูตร
เป็นกระบวนการดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆในการนำหลักสูตรไปสู่โรงเรียนและจัดการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
การนำหลักสูตรไปใช้เป็นงานเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย
ตั้งแต่ระดับกระทรวงศึกษาธิการ
แต่ละฝ่ายมีความเกี่ยวข้องในแต่ละส่วนของการนำหลักสูตรไปใช้ เช่น
หน่วยงานส่วนกลางเกี่ยวข้องในด้านการบริหารและบริหารหลักสูตรกับการนิเทศและติดตามผลการใช้หลักสูตร
การนำหลักสูตรไปใช้จำต้องเป็นขั้นตอนตามลำดับ นับแต่ขั้นการวางแผน
และเตรียมการในการประชาสัมพันธ์หลักสูตร และการเตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ขั้นต่อมาคือการดำเนินการนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีระบบ นับแต่การจัดครูเข้าสอนตามหลักสูตร
การบริการวัสดุหลักสูตรและสิ่งอำนวยความสะดวกในการนำหลักสูตรไปใช้
และดำเนินการเรียนการสอนตามหลักสูตร
ส่วนขั้นสุดท้ายต้องติดตามประเมินผลการนำหลักสูตรไปใช้
นับแต่การนิเทศติดตามผลการใช้หลักสูตร การติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร
การนำหลักสูตรไปใช้ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญ
ที่จะทำให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นบรรลุผลตามจุดหมาย
และเป็นกระบวนการที่ต้องได้รับความร่วมมือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายๆฝ่าย
และที่สำคัญที่สุดคือครูผู้สอน
การตรวจสอบทบทวน(Self-Test)และกิจกรรม(Activity)บทที่8 การนำหลักสูตรไปใช้
การตรวจสอบทบทวน(Self-Test)
1.การนำหลักสูตรไปใช้
จะต้องพิจารณาในประเด็นสำคัญใดบ้าง
ตอบ การนำหลักสูตรไปใช้
จะต้องพิจารณาในประเด็นสำคัญ
1. จะต้องมีการวางแผนและเตรียมการ
2.
จะต้องมีองค์คณะบุคคลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่ประสานงานกัน
3. ดำเนินการอย่างเป็นระบบ
4.
คำนึงถึงปัจจัยที่จะช่วยในการนำหลักสูตรไปใช้
5. ครูเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ดังนั้น
ครูจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และจริงจัง
6.
จัดตั้งให้มีหน่วยงานที่มีผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เพื่อให้การสนับสนุนและพัฒนาครู
7. หน่วยงานและบุคคลในฝ่ายต่างๆ
ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
8. มีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะๆ
นับแต่การนิเทศติดตามผลการใช้หลักสูตร
การติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญ
ที่จะทำให้หลักสูตรที่สร้างขึ้นบรรลุผลตามจุดหมาย
และเป็นกระบวนการที่ต้องได้รับความร่วมมือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายๆฝ่าย
และที่สำคัญที่สุดคือครูผู้สอน
กิจกรรม(Activity)
1.
สืบค้นจากหนังสือหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง การนำหลักสูตรไปใช้
ตอบ
การนำหลักสูตรไปใช้เป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาหลักสูตร
เป็นกระบวนการดำเนินงานและกิจกรรมต่างๆในการนำหลักสูตรไปสู่โรงเรียนและจัดการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
การนำหลักสูตรไปใช้เป็นงานเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย ตั้งแต่ระดับกระทรวงศึกษาธิการ
แต่ละฝ่ายมีความเกี่ยวข้องในแต่ละส่วนของการนำหลักสูตรไปใช้ เช่น
หน่วยงานส่วนกลางเกี่ยวข้องในด้านการบริหารและบริหารหลักสูตรกับการนิเทศและติดตามผลการใช้หลักสูตร
การนำหลักสูตรไปใช้จำต้องเป็นขั้นตอนตามลำดับ นับแต่ขั้นการวางแผน
และเตรียมการในการประชาสัมพันธ์หลักสูตร และการเตรียมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ขั้นต่อมาคือการดำเนินการนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีระบบ
นับแต่การจัดครูเข้าสอนตามหลักสูตร
การบริการวัสดุหลักสูตรและสิ่งอำนวยความสะดวกในการนำหลักสูตรไปใช้
และดำเนินการเรียนการสอนตามหลักสูตร
แบบจำลองพัฒนาหลักสูตร
แบบจำลองพัฒนาหลักสูตร
“แบบจำลอง (Model) บางแห่งเรียกว่า
รูปแบบ โอลิวา เป็นคนแรกที่ใช้คำนี้ในสาขาวิชาการพัฒนาหลักสูตร” เป็นการนำเสนอภาพความคิดที่ได้จากการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
ตั้งแต่เริ่มต้น กระบวนการ และย้อนกลับมาเริ่มต้น เป็นวัฎจักร
ซึ่งเป็นรูปแบบที่จำเป็นในการให้บริการในลักษณะของข้อแนะในการปฏิบัติ
ซึ่งสามารถพบได้ในเกือบจะทุกแบบของกิจกรรมทางการศึกษา ในเชิงวิชาชีพแล้วมีแบบจำลองจำนวนมาก เช่น
แบบจำลองการเรียนการสอน (models of
instruction) แบบจำลองการบริหาร (models of administration) แบบจำลองการประเมินผล (models of
evaluation) และ
แบบจำลองการนิเทศ (models of
supervision) เป็นต้น
แบบจำลองบางรูปแบบที่พบในวรรณกรรมต่างๆ
บางแบบก็เป็นแบบง่ายๆ บางแบบก็มีความซับซ้อนค่อนข้างมาก
และยิ่งมีความซับซ้อนมากเท่าใดก็ยิ่งมีความใกล้กับความเป็นวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มากขึ้นเท่านั้น
บางแบบจำลองใช้แผนภูมิซึ่งประกอบด้วยสี่เหลี่ยมจัตุรัส กล่อง
วงกลม สี่เหลี่ยมผืนผ้า ลูกศรและอื่นๆ
ในสาขาวิชาที่เฉพาะเจาะจง
(เช่น การบริหาร การเรียนการสอน
การนิเทศ หรือ การพัฒนาหลักสูตร) แบบจำลองอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง
แต่ส่วนใหญ่จะมีความคล้ายคลึงกัน
โดยที่ความคล้ายคลึงจะมีน้ำหนักมากกว่าแบบจำลองแต่ละแบบดังกล่าวเหล่านี้
บ่อยครั้งจะได้รับการกลั่นกลองและปรับปรุงจากแบบจำลองเดิมที่มีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้หลักสูตรหรือผู้ปฏิบัติหลักสูตร
ต้องรับผิดชอบต่อการเลือกใช้แบบจำลองที่มีอยู่แล้วในแต่ละสาขาวิชา
และหากไม่ชอบใจก็อาจจะออกแบบจำลองของตนเองขึ้นใหม่ได้
โดยมิได้ปฏิเสธแบบจำลองทั้งหมดที่มีอยู่เดิม และอาจจะนำลำดับและขั้นตอนในแบบจำลองที่มีอยู่นั้นมารวมเข้าด้วยกัน
ออกมาเป็นแบบจำลองที่นำไปสู่การปฏิบัติได้แทนที่จะเริ่มใหม่ทั้งหมด
แบบจำลองทางสาขาวิชาหลักสูตรที่เป็นที่รู้จักกันดี
มักจะเรียกชื่อแบบจำลองตามชื่อของผู้ที่นำเสนอความคิดนั้น ๆ ในสาขาวิชาหลักสูตร
ได้แก่ ไทเลอร์ (Tyler) ทาบา (Taba) เซเลอร์และ อเล็กซานเดอร์ (Saylor
and Alexandder) วีลเลอร์และนิโคลส์ (Wheeler and Nicholls) วอคเกอร์ (Walker) สกิลเบค (Skilbeck) โอลิวา (Oliva) และ พรินท์ (Print)
สรุป(Summary)บทที่7 แบบจำลองพัฒนาหลักสูตร
สรุป(Summary)
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตร
เป็นวิธีที่ให้ความสะดวกง่ายๆ
ในการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่จำเป็นของหลักสูตรในกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตรส่วนที่จำเป็นของหลักสูตร
คือจุดประสงค์/ผลที่ได้รับ เนื้อหาวิชา วิธีการสอนและการประเมินผล
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วย
แบบจำลองเชิงเหตุผล ของไทเลอร์และบาทา แบบจำลองวงจรของวีลเลอร์และนิโคลส์
และแบบจำลองที่ไม่หยุดนิ่ง หรือแบบจำลองปฏิสัมพันธ์ ของวอคเกอร์และสกิลเบค
และแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของ นักการศึกษาอื่นๆ เช่น แบบจำลองของเซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์
พริ้นท์ และ โอลิวา
แบบจำลองของโอลิวา
แบบจำลองของโอลิวา
โอลิวา
(oliva) ได้แสดงแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของตน
เพื่อให้บรรลุเกณฑ์สามประการคือ
ประการแรก แบบจำลองจะต้องเรียบง่าย
(simple) มีความครอบคลุมกว้างขวาง(comprehensive) และมีความเป็นระเบียบ (systematic) ซึ่งประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ หนึ่งประพจน์ของปรัชญา (statement of philosophy) สองประพจน์ของเป้าประสงค์ (statement
of goals) สามประพจน์ของจุดประสงค์ (statement of objectives) สี่การออกแบบของแผน
(besign of plan) ห้านำไปใช้ปฏิบัติ (implementation) และสุดท้ายการประเมินผล ดังภาพ 8.14
แม้ว่าแบบจำลองนี้จะเป็นตัวแทนขององค์ประกอบที่จำเป็นที่สุด
แต่ก็พร้อมที่จะขยายไปสู่แบบจำลองที่ขยายแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมผนวกเข้าไป
และแสดงกระบวนการบางอย่างซึ่งปรับจากแบบจำลองเดิม แบบจำลองโอลิวาที่ขยายแล้วมี 12 องค์ประกอบปรากกฎ ดังภาพ ประกอบ 25
องค์ประกอบสิบสองประการ แบบจำลองที่ปรากฏในภาพที่ 8.14 แสดงความครอบคลุมกว้างเป็นกระบวนการที่เป็นไปทีละขั้นๆ (step-
by-step) ที่นำผู้วางแผนหลักสูตรที่เริ่มจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ของหลักสูตรไปสู่การประเมินผล แต่ล่ะองค์ประกอบ (ออกแบบโดยใช้เลขโรมันจาก l
ถึง xll จะได้รับการพรรณนาและแนะนำให้กับผู้วางแผนหลักสูตรและผู้มีส่วนร่วม
โดยสรุปดังนี้
เราสังเกตพบว่าในแบบจำลองนี้ใช้ทั้งรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและวงกลม
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสใช้เป็นตัวเป็นตัวแทนของระยะการวางแผน (Operational
phase) กระบวนการเริ่มต้นด้วยองค์ประกอบที่ l ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผู้พัฒนาหลักสูตร
กำหนดความมุ่งหมายของการศึกษาหลังการทางปรัชญาและจิตวิทยาความมุ่งหมายเหล่านี้เชื่อว่าได้มาจากความต้องจากความต้องการจำเป็นของสังคม
และความต้องการจำเป็นเช่นเดียวกับแบบจำลองของนักการศึกษาอื่น ๆ แบบจำลองของโอลิวา
ก็รวมทั้งแผนของการพัฒนาหลักสูตร (องค์ประกอบที่ I-V และองค์ประกอบที่
XII) และการออแบบการเรียนการสอน (องค์ประกอบที่ VI-XI)
ลักษณะสำคัญของแบบจำลองนี้คือ
เส้นของข้อมูลป้อนกลับ (feedback
lines) ซึ่งเป็นวงจรย้อนกลับจากการประเมินผลหลักสูตรไปยังเป้าประสงค์ของหลักสูตร
และจากการประเมินผลการเรียนการสอนไปยังเป้าประสงค์ของการเรียนการสอน
เส้นเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการแก้ไขปรับปรุงองค์ประกอบของแต่ละวงจรย่อยอย่างต่อเนื่อง
การใช้แบบจำลอง
แบบจำลองนี้สามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลาย
ทิศทางแรกแบบจำลองนี้ได้เสนอกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่สมบูรณ์ของโรงเรียน
สาขาวิชาต่างๆ ในแต่ละสาขา เช่น ศิลปะภาษา ก็จะสามารถพัฒนาหลักสูตรโดยอาศัยแบบจำลองนี้ได้
แผนสำหรับหลักสูตรในสาขาวิชานี้และการออกแบบวิธีการใช้หลักสูตรด้วยการจัดการเรียนการสอน
หรือ แต่ละสาขาวิชาอาจพัฒนาโปรแกรมสหวิทยาการของโรงเรียน
โดยการผสมผสานระหว่างวิชาเฉพาะ เช่น การศึกษาอาชีพ (Career
education) การแนะแนว (guidance) และกิจกรรมพิเศษของชั้นเรียน
ทางที่สอง สาขาวิชาอาจเน้นองค์ประกอบหลักสูตรแบบจำลอง (องค์ประกอบที่ I-V และ XII) เพื่อช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับโปรแกรม
หนทางที่สาม สาขาวิชาอาจเน้นที่องค์ประกอบของการเรียนการสอน (VI-XI)
แบบจำลองย่อยสองแบบ
แบบจำลองทั้งสิบสองระยะที่กล่าวถึงนี้เป็นการบูรนาการผสมผสานแบบจำลองทั่วไปสำหรับการพัฒนาหลักสูตร
กับแบบจำลองทั่วไปสำหรับการเรียนการสอน องค์ประกอบที่ (I-V และ XII) ประกอบด้วยแบบจำลองย่อยของการพัฒนาหลักสูตรซึ่ง
โอลิวา อ้างว่า เป็นแบบจำลองย่อยของหลักสูตร องค์ประกอบที่ VI-XI ประกอบด้วยแบบจำลองย่อยของการเรียน การสอน
ในการแยกความแตกต่างระหว่างองค์ประกอบของหลักสูตรและองค์ประกอบของการเรียน การสอน
โอลิวาได้ใช้เส้นประสำหรับแบบจำลองย่อยของการเรียนการสอน
เมื่อไม่มีการแบบจำลองย่อย (sub
model) ของหลักสูตร ผู้วางแผนหลักสูตรต้องกำหนดในใจว่าภาระงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์
จนกระทั่งได้มีการแปรเป้าประสงค์และจุดประสงค์ของหลักสูตรออกเป็นขั้นตอนย่อย
ๆสู่การเรียนการสอน ต่อจากนั้นเมื่อมีการใช้แบบจำลองของการเรียนการสอน
ผู้วางแผนหลักสูตรต้องรับรู้เป้าประสงค์และจุดประสงค์หลักสูตรของโรงเรียนหรือของสาขาวิชาโดยรวม
สำหรับผู้ที่ไม่ชอบขั้นตอนที่เป็นไดอาแกรมตามภาพ
โอลิวาได้จัดเตรียมรายการของขั้นตอนโดยเรียงลำดับดังนี้
1. ระบุความต้องการจำเป็นของนักเรียนโดยทั่ว
ๆ ไป
2. ระบุความต้องการของสังคม
3. เขียนประพจน์ของปรัชญาและความมุ่งหมายของการศึกษา
4. ระบุความต้องการจำเป็นของนักเรียนในโรงเรียน
5. ระบุความต้องการจำเป็นของชุมชนเฉพาะ
6. ระบุความต้องการจำเป็นของเนื้อหาวิชา
7. ระบุเป้าประสงค์ของหลักสูตรในโรงเรียน
8. ระบุจุดประสงค์ของหลักสูตรในโรงเรียน
9. จัดหลักสูตรและนำไปใช้
10. ระบุเป้าประสงค์การเรียน
11. ระบุจุดประสงค์การเรียนนำกลยุทธ์การเรียนการสอน
12. เลือกกลยุทธ์การเรียนการสอน
13. เริ่มต้นเลือกกลยุทธ์การประเมินผล
14. นำกลยุทธ์การเรียนการสอนไปปฏิบัติ
15. เลือกกลยุทธ์การเรียนการสอนขั้นสุดท้าย
16. ประเมินผลการเรียนการสอนและปรับปรุงขององค์ประกอบของการเรียนการสอน
17. ประเมินผลหลักสูตรและปรับปรุงองค์ประกอบของหลักสูตร
ขั้นที่ 1-9 และ 17 ประกอบด้วยแบบจำลองย่อยของหลักสูตร ขั้นที่ 10-16
เป็นแบบจำลองย่อยของการเรียนการสอน
ความเหมือนและความต่างของแบบจำลองต่าง
ๆ
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรที่ได้อภิปรายมาแล้ว
เผยให้เห็นทั้งความเหมือนและความต่าง ไทเลอร์ บาทา และคนอื่น ๆ
ได้กำหนดสังเขปลำดับขั้นตอนในการดำเนินการพัฒนาหลักสูตร ส่วนเซเลอร์ อเล็กซานเดอร์
และลีวีส ได้เขียนแผนภูมิองค์ประกอบของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร (การออกแบบ การนำไปใช้
และการประเมินผล)
ในทางตรงกันข้ามกับการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติหลักสูตรหรือโดยไม่คำนึงถึงการกระทำที่ผู้ปฏิบัติหลักสูตรจะต้องทำ
(การวินิจฉัยความต้องการจำเป็น การกำหนดจุดประสงค์ และอื่น ๆ)
มโนทัศน์เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลและตะแกรงการกลั่นกรองเป็นสิ่งที่โดดเด่นในแบบจำลองของไทเลอร์
แบบจำลองทั้งหลายไม่ได้มีความสมบูรณ์เสมอไปไม่สามารถแสดงรายละเอียดและความผิดแผกแตกต่างเล็ก
ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างของกระบวนการที่ซับซ้อนเช่นเดียวกับการพัฒนาหลักสูตรได้
ในแง่มุมหนึ่งผู้ริเริ่มออกแบบจำลอง กล่าวว่าบางครั้งในเชิงของแบบกราฟิก “ลักษณะเหล่านี้เป็นลักษณะที่ไม่ควรลืม” ในการพรรณนารายละเอียดทุก
ๆอย่างของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรควรจะกำหนด การวาดภาพที่สลับซับซ้อนมาก ๆ
หรือให้มีแบบจำลองออกมาจำนวนมากๆ
ภาระงานอย่างหนึ่งในการสร้างแบบจำลองการปรับปรุงหลักสูตร
คือการตัดสินใจว่าอะไรเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในกระบวนการ
ซึ่งไม่ได้เป็นภาระงานที่ง่าย
และจำกัดแบบจำลองให้อยู่ในกรอบขององค์ประกอบเหล่านั้น
ผู้สร้างแบบจำลองพบว่าตนเองอยู่ระหว่างอันตราย (หนีเสือปะจระเข้)
ของการทำให้เรียบง่ายเกินไป (Oversimplification) กับการทำให้ซับซ้อนและสับสน
เมื่อพิจารณาแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรที่หลากหลายแล้วเราไม่สามารถกล่าวได้ว่า
แบบจำลองแบบใดแบบหนึ่งมีความเหนือกว่าแบบจำลองอื่นๆ
ตัวอย่างเช่นผู้วางแผนหลักสูตรบางคนอาจจะใช้แบบจำลองของไทเลอร์มานานหลายปีและพิจารณาได้ว่าประสบความสำเร็จหรืออีกนัยหนึ่งความสำเร็จนี้มิได้หมายความว่าแบบจำลองของไทเลอร์เป็นตัวแทนที่ดีสุดสำหรับการปรับปรุงหลักสูตรหรือนักการศึกษาทุกคนพอใจกับแบบจำลองนี้
เมื่อมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ถึงความซับซ้อนของธรรมชาติการพัฒนาหลักสูตรแล้วเป็นที่สังเกตว่าการปรับปรุงแบบจำลองที่เกิดขึ้นก่อนสามารถที่จะกระทำได้
ก่อนที่จะเลือกแบบจำลองหรือออกแบบจำลองใหม่ผู้วางแผนหลักสูตรอาจจะกำหนดเกณฑ์หรือคุณลักษณะที่ต้องการสำหรับการปรับปรุงหลักสูตร
เป็นที่ยอมรับกันว่า แบบจำลองโดยทั่วไปควรแสดงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. องค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการถึงระยะของการวางแผนการนำไปใช้และการประเมินผล
2. ธรรมเนียมการปฏิบัติ
แต่ไม่จำเป็นต้องตายตัว คือมีจุด “เริ่มต้น” และ “จบ”
3. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรและการเรียนการสอน
4. ความแตกต่างระหว่างหลักสูตรและเป้าประสงค์และจุดประสงค์ของการเรียนการสอน
5. ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างองค์ประกอบต่าง
ๆ
6. มีรูปแบบเป็นวงจรมากกว่าที่จะเป็นเส้นตรง
7. มีเส้นการให้ข้อมูลป้อนกลับ
8. มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปในจุดใดจุดหนึ่งของวงจร
9. มีความสอดคล้องภายในและมีตรรกะ
10. มีความเรียบง่ายเพียงพอที่จะเข้าใจได้และทำได้
11. มีการแสดงองค์ประกอบในรูปของไดอะแกรมหรือแผนภูมิ
เกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวนี้
โอลิวาได้ยอมรับว่า
เป็นเกณฑ์ที่มีเหตุผลที่ปฏิบัติตามได้และเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทาง
โอลิวาได้เสนอแบบจำลองที่ควบคู่ไปกับข้อแนะนำข้างต้นซึ่งจะทำให้บรรลุความมุ่งหมายสองประการ
คือ
1. เพื่อเสนอแนะระบบที่ผู้วางแผนหลักสูตรประสงค์จะปฏิบัติตาม
2. เพื่อทำหน้าที่เป็นกรอบงานสำหรับการอธิบายระยะต่าง
ๆ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ของกระบวนการปรับปรุงหลักสูตร
เมื่อพิจารณาแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ
ทั้งแบบจำลองเชิงเหตุผลของไทเลอร์และบาทา แบบจำลองวงจรของวีลเลอร์และนิโคลส์
และแบบจำลองที่ไม่หยุดนิ่ง (หรือแบบจำลองปฏิสัมพันธ์) ของวอคเกอร์และสกิลเบค
ตลอดจนแบบจำลองของนักการศึกษาคนอื่น ๆ ดังที่ได้กล่าวแล้ว
แบบจำลองเหล่านี้มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
ในส่วนที่แตกต่างกันคือ บางแบบจำลองมีขั้นตอนละเอียดมากและแต่ละแบบจำลองก็มีขั้นตอนที่เป็นจุดร่วมที่เหมือนกันที่พอจะสรุปเป็นขั้นของการพัฒนาหลักสูตรที่ครอบคลุมได้ห้าขั้นตอน
คือ
1. การกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
2. การเลือกเนื้อหาวิชาและประสบการณ์
3. การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ
4. การประเมินผลหลักสูตร
5. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
แบบจำลองของพริ้นท์
แบบจำลองของพริ้นท์
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของ พริ้นท์ (print) เป็นความพยายามที่จะจัดเตรียมวิธีการพัฒนาหลักสูตร โดยการรับเอาขั้นตอน
เหตุผลและความเหมาะสมต่อความจำเป็นของผู้พัฒนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในการแสดงออกของครู เช่น แบบจำลองที่ใช้วิธีการแนะนำว่า
การพัฒนาหลักสูตรควรทำอย่างไร และความจำเป็นในวิธีการแต่ละขั้นเป็นอย่างไร
จากการพิจารณาผลการวิจัยแสดงหลักฐานว่า
ครูมีความเข้าใจกระจ่างเกี่ยวกับหลักสูตรมโนทัศน์และแบบจำลองน้อยมากและจากงานวิจัยของโคเฮนและแฮลิสัน
(Cohen
and Harrison) สรุปว่า ไม่มีคำนิยามรามของหลักสูตรที่ครูในโรงเรียนของประเทศออสเตรเลียได้มีส่วนร่วมซึ่งครูเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องพอสมควรเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการพัฒนาหลักสูตร
อย่างไรก็ตาม ความต้องการจำเป็นคือ
วิธีการที่ชัดเจน มีเหตุผล
มีข้อกำหนดในการพัฒนาหลักสูตร เช่น แบบจำลองควรที่จะมีพิสัยที่กว้างในการใช้
ตรงไปตรงมาและมีความซับซ้อนเพียงพอที่จะเตรียมวิธี
การแก้ปัญหาเป็นฐานให้กับการพัฒนาหลักสูตร
พริ้นท์
ได้เสนอสถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรด้วยการพัฒนาสิ่งต่อไปนี้
1.
หลักสูตรเชิงระบบ
เช่นหลักสูตรของทุกโรงเรียน 2. หลักสูตรเนื้อหาวิชา เช่น
หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับชั้นอนุบาล หลักสูตรคหกรรมสำหรับชั้นมัธยมศึกษา 3.
หลักสูตรโรงเรียน เช่นหลักสูตรสำหรับชั้นประถมศึกษา
สำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา
สำหรับวิทยาลัยเทคนิค 4. หลักสูตรสำหรับโรงเรียนย่อย
ๆ (Sub school curricula) เช่น หลักสูตรประถมศึกษา
หลักสูตรมัธยมศึกษา และ 5. หลักสูตรโครงการเช่น
โครงการหลักสูตรเกี่ยวกับการศึกษาสิ่งแวดล้อมหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน
(เช่นโครงการวิทยาศาสตร์)
ในการพิจารณาข้อกำหนดพื้นฐานของแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วยขั้นตอน
สามระยะคือ การจัดการ การพัฒนา
และการนำไปใช้
ในการทำความเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น หรือกล่าวให้ตรงมากขึ้นคือ อะไรควรจะเกิดขึ้นในการพัฒนาหลักสูตร แบบจำลองของ พริ้นท์ สนับสนุนว่า
เป็นความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เป็นการอารัมภบท หรือทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร ต้องมีการสร้างเอกสารหลักสูตร โครงการหรือพัฒนาวัสดุ อย่างไรและสุดท้าย เอกสาร/วัสดุ จะนำไปประยุกต์และปรับปรุงใช้อย่างไร
จะช่วยให้มองเห็นภาพของสามระยะดังกล่าว โดยเน้นกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น
ระยะที่หนึ่ง : การจัดการ จุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการพัฒนาหลักสูตรใดๆ ขึ้นอยู่กับวิธีการที่เป็นทางการของหลักสูตร
หรือกล่าวอีกในหนึ่งว่า
ในการเริ่มต้นพัฒนาหลักสูตรต้องมองดูก่อนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนา มีภูมิหลังเกี่ยวกับงานและมีแรงขับในความคิดอะไรบ้างคน กลุ่มนี้อาจเป็นบุคคลากรของโรงเรียนของภาควิชาต่างๆ หรือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของงานหลัก
สูตรในขณะนั้น ในบริบทของโรงเรียน กลุ่มจะประกอบด้วย
กลุ่มของครูที่พัฒนาหลักสูตรในวิชาเฉพาะสิ่งสำคัญในระยะนี้คือคำถามที่มีต่อผู้พัฒนาหลักสูตร และคำตอบต่อคำถามเหล่านี้จะเป็นแนวทางสำหรับความเข้าใจในผลผลิตของหลักสูตรขั้นสุดท้าย
คำถามดังกล่าวคือ 1.
ใครเกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตรครั้งนี้
และได้ทำอะไรที่แสดงว่าเป็นตัวแทนในการทำสิ่งนั้น
2. ผู้เกี่ยวข้องนั้นมีแนวความคิดเกี่ยวกับหลักสูตรอย่างไร
3. แรงขับหรือพื้นฐานที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้พัฒนาหลักสูตรคืออะไรก่อนที่จะตรวจสอบหลักสูตรหรือเริ่มต้นพัฒนา สิ่งสำคัญคือ
ความเข้าใจบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องการสร้างหลักสูตรโดยกลุ่มของครูในโรงเรียนที่มีความเป็นอิสระจะแตกต่างไปจากการสร้างหลักสูตรโดยครูโรงเรียนรัฐบาลหรือไม่
หลักสูตรที่สร้างโดยสถาบันอุดมศึกษาจะคล้ายคลึงกับหลักสูตรที่สร้างโดยครูหรือไม่และการสร้างหลักสูตรของรัฐจะสะท้อนความต้องการของแต่ละโรงเรียนหรือไม่หรือโดยแท้
จริงแล้วจะคล้ายคลึงกับการพัฒนาหลักสูตรโดยครูโรงเรียนรัฐบาลหรือไม่
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของพริ้นท์
ผลผลิตของหลักสูตร คือ
นักเรียน
โดยพื้นฐานแล้วได้มีการทำตามทิศทางตามที่ผู้ตัดสินใจได้กำหนดไว้หรือไม่ ใครคือผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร และมีความตั้งใจอะไร
มีทิศทางพิเศษอะไรในใจเกี่ยวกับหลักสูตร
เช่น
หลักสูตรควรเน้นในเรื่องของวิชาการหรือไม่ หรือจะมุ่งที่การพัฒนาทักษะพื้นฐาน
หรือมุ่งส่งเสริมมโนทัศน์ทางบวกภายในตัวของนักเรียน (positive self-concept) ต้องการการตอบคำถามเหล่านี้และคำถามอื่น
ๆ
ที่มีความเหมาะสมเป็นความจำเป็นที่ต้องรู้เกี่ยวกับผู้พัฒนาหลักสูตรและสิ่งที่แสดงออกมา ที่แน่ ๆ
คือ ในการเลือก ผู้พัฒนาหลักสูตรควรจะได้มีความเข้าใจกับองค์ประกอบต่าง
ๆ เหล่านี้
คำถามอีกคำถามหนึ่งที่ต้องแก้ไขเกี่ยวข้องกับการรับรู้หลักสูตรของผู้พัฒนาหลักสูตรซึ่งมีแนวโน้มที่จะมองกระบวนการในห้าทิศทาง ทัศนะนี้มีผลต่อการพัฒนาหลักสูตร
ผู้เขียนในสาขาวิชาหลักสูตร (Eisner, Skilbeck, McNeil, Tanner and
Tanner, Eisner and Vallance) ได้สรุปว่ามีมโนทัศน์ของหลักสูตรจำนวนมากที่แสดงออกมา
ไอสเนอร์ และ วอลแลนซ์ เป็นหนึ่งในผู้ตรวจสอบประมวลความความรอบรู้
ในคำถามนี้ได้แนะนำว่ามีห้าหัวข้อในการที่จะปฐมนิเทศเรื่องหลักสูตร แม้ว่าจะได้รับการโต้แย้งว่ามีเพียงสื่อจากแนคนีล
แต่พริ้นท์ก็ได้เพิ่มเข้าไปเป็นห้าหัวข้อ คือ
1. มโนทัศน์เกี่ยวกับวิชาการในสาขา
(academic disciplines conception)
2. มโนทัศน์เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์
(humanistic conception)
3. มโนทัศน์เกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคม
(social reconstructions conception)
4. มโนทัศน์เกี่ยวกับเทคโนโลยี
(technological conception)
5. มโนทัศน์ในการเลือก (eclectic
conception)
คำถามสุดท้ายเกี่ยวข้องกับพื้นฐานหรือแรงขับ ซึ่งมีอิทธิพลต่างทิศทางความคิดเกี่ยวกับหลักสูตรของผู้พัฒนาหลักสูตร
พื้นฐานของหลักสูตรเหล่านี้มาจากแหล่งทางปรัชญาทางสังคมและจิตวิทยา ซึ่งจะส่งผลให้ที่แตกต่างกันต่อบุคคลแต่ละคน
และดังนั้นจึงสามารถที่จะยอมรับรูปแบบของหลักสูตรที่มีความแตกต่างกันได้
ระยะที่สอง : การพัฒนา
ระยะนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มการประชุมเพื่อพัฒนาหลักสูตรในขั้นของการสร้างเอกสารหลักสูตร
วัสดุหรือโครงการ ไม่ว่าธรรมชาติของงานพัฒนาหลักสูตรจะอย่างไร
เป็นการรับผิดชอบของกลุ่มการพัฒนาที่จะสร้างผลิตผลที่ใช้ได้ในระยะนี้
กลุ่มการพัฒนาไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มเดียวกันเสมอไป เมื่อไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน
บางทีในระดับที่เป็นเรื่องของระบบ
เป็นความสำคัญที่กลุ่มจะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
เพื่อที่จะให้ระยะที่สองประสบกับความสำเร็จผู้พัฒนาจะดำเนินการตามวิธีการแบบจำลองวงจร
หรืออาจกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผู้พัฒนาดำเนินการตามขั้นตอนขององค์ประกอบหลักสูตร
ซึ่งเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์และต่อด้วยความมุ่งหมายวิเคราะห์สถานการณ์อีก
สิ่งที่คณะครูควรจะทำ เช่น
ให้ความสนใจกับการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นพิเศษสำหรับมัธยมศึกษา หรือชั้นประถมศึกษา โดยจะใช้วิธีแบบวงจร
มีการรับรู้วิธการและมโนทัศน์ของหลักสูตร
ในขั้นนี้คณะครู/กลุ่มครู (ผู้พัฒนา)
จะอยู่ในฐานะที่พร้อมที่จะไปสู่ระยะต่อไปในการสร้างเอกสารหลักสูตร
ในการวิเคราะห์สถานการณ์
ทำให้ครูรู้ถึงความต้องการจำเป็นของนักเรียนและแหล่งต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ที่จะสนองตอบกับความต้องการจำเป็นนั้น
ๆ
ของนักเรียนอย่างเป็นระบบจากข้อมูลเหล่านี้มีผู้พัฒนาหลักสูตรสามารถที่จะให้ถ้อยคำที่มีความหมายเกี่ยวกับความตั้งใจในการศึกษาหลักสูตร
นั่นคือ ผู้พัฒนาหลักสูตรสามารถที่กำหนดความมุ่งหมาย เป้าประสงค์ได้อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ถ้อยคำกล่าวที่เป็นความมุ่งหมายเป้าประสงค์
และจุดประสงค์เหล่านี้จะเป็นฐานให้ผู้พัฒนาหลักสูตรสามารถสร้างเนื้อหาวิชาที่เหมาะสม ในทำนองเดียวกัน
ก็จะสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม
เพื่อที่จะได้เรียนรู้เนื้อหาวิชาได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้บรรลุจุดประสงค์
ท้ายที่สุดเป็นการประเมินผลผู้พัฒนาต้องสร้างวิธีการประเมินที่มีประสิทธิภาพเพื่อตัดสินนักเรียนได้บรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ใด
เมื่อมีการนำเอกสารหลักสูตรไปใช้ สถานการณ์ที่ได้ริเริ่มไว้ก็อาจเปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดความต้องการในการวิเคราะห์สถานการณ์ใหม่อีกและต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น
ๆ ขององค์ประกอบขำหลักสูตร
วงจรธรรมชาติของกระบวนการพัฒนาก็เกิดขึ้นลักษณะดังกล่าวเหล่านี้ทำให้รับรู้ได้ว่าในการสร้างเอกสารหลักสูตรวงจรธรรมชาติของกระบวนการพัฒนาก็เกิดขึ้น
ลักษณะดังกล่าวเหล่านี้ ทำให้รับรู้ได้ว่าในการสร้างเอกสารหลักสูตร วัตถุหลักสูตรโครงการหลักสูตรหรืออื่น ๆ
ผู้พัฒนาหลักสูตรใช้วิธีการที่มีเหตุผลและเป็นระบบด้วย
ระยะที่สาม : การนำไปใช้
ถ้ามีการพิจารณาว่าอะไรได้เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการพัฒนาวัตถุทางด้านกายภาพ
(หลักสูตร โครงการ และชุดต่าง ๆ ของวัสดุหลักสูตร) แล้ว
แต่ละบุคคลต่างก็รับรู้กันว่าอะไรได้เกิดขึ้นเมื่อหลักสูตร
โครงการและวัสดุหลักสูตรเหล่านั้นได้รับการนำไปใช้กับนักเรียน
สิ่งเหล่านี้จะปรากฏอยู่ในระยะที่สาม การนำไปใช้ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมสามอย่างคือ
1.
การนำหลักสูตรไปใช้ 2. การเฝ้าระวังติดตาม
และรับข้อมูลป้อนกลับของหลักสูตร และ 3. จัดเตรียมข้อมูลป้อนกลับให้กลุ่มพัฒนาหลักสูตร
สำหรับเอกสารหลักสูตร
วัสดุหรือโครงการที่จะใช้ในโรงเรียนหรือในระบบโรงเรียนต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในการทำให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มีประสิทธิภาพและมีความยุ่งยากสับสนแต่น้อย
ต้องมีการสร้างแผนสำหรับการใช้นวัตกรรมหลักสูตร
ถ้าไม่มีก็สามารถจะคาดเดาได้ว่าจะมีการต่อต้านอย่างแข็งแรงขั้นทำให้นวัตกรรมนั้นไม่ได้รับการยอมรับในทำนองเดียวกัน
ไม่เป็นการเพียงพอที่จะสร้างหลักสูตรโดยไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น และคาดหวังว่าโรงเรียนจะไปใช้ ซึ่งพริ้นท์ได้กล่าวว่าการทำเช่นนั้น เป็น “ตำรับแห่งความหายนะ”
ในขั้นตอนแรกของการนำไปใช้ เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีการปรับปรุง เป็นสิ่งที่คาดหวังว่าจะต้องเกิด ทำนายไว้ได้ล่วงหน้า เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างหลักสูตรเพื่อนใช้ในโรงเรียนได้อย่างหลากหลายด้วยที่ไม่ต้องปรับปรุง
ระดับของความสำเร็จในการใช้หลักสูตรจะสะท้อนกลับถึงวัดความสามารถและความตั้งใจของผู้พัฒนาที่จะปรับปรุงหลักสูตรนั้นๆ
ในระยะของการเฝ้าระวังติดตาม
การใช้หลักสูตรเหมือนเดิมว่าจะเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวัดความสำเร็จของกิจกรรมหลักสูตร
นั่นคือ การวิเคราะห์ประสิทธิผลของกิจกรรมหลักสูตรทั้งหมด
ต่อจากนั้นข้อมูลป้อนกลับอาจจะได้รับจากการศึกษาการประเมินผลผลิตนั้นคือ
นักเรียนประสบความสำเร็จตามตั้งใจมากน้อยเพียงไร ดีเพียงไรในขณะที่การใช้หลักสูตรเป็นกิจกรรมในระยะสั้นๆ
แต่ลักษณะที่ได้รับจากการเฝ้าระวังติดตามและข้อมูลป้อนกลับที่ได้ในระยะที่สามดูเหมือนว่าจะได้นานหลายปีเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงได้ตลอดไป
กิจกรรมสุดท้ายในระยะที่สามมีความสัมพันธ์กับข้อมูลที่ได้จากข้อมูลป้อนกลับจากกลุ่มผู้นำหลักสูตร
แบบจำลองพัฒนาหลักสูตรในลักษณะนี้มีสมมติฐานว่ากลุ่มผู้นำหลักสูตรหรือกลุ่มในลักษณะเดียวกันนี้
ยังคงให้ความสะดวกในการเฝ้าระวังติดตามและลบข้อมูลป้อนกลับ สถานศึกษาส่วนใหญ่จะมีการรวมตัวของกลุ่มผู้รับผิดชอบการเงินของหลักสูตร
(เช่น คณะกรรมการหลักสูตร คณะกรรมการศึกษา)
ถ้ากลุ่มผู้นำและ/หรือกลุ่มพัฒนาสลายตัวไป
สิ่งที่สัมพันธ์กับข้อมูลป้อนกลับของหลักสูตรควรจะส่งต่อไปยังกลุ่มการบัญชีของหลักสูตร
แบบจำลองของเซเลอร์และอเล็กซานเดอร์
แบบจำลองของเซเลอร์และอเล็กซานเดอร์
ในการทำความเข้าใจกับแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของ
เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ก่อนอื่นการวิเคราะห์มโนทัศน์ของ “หลักสูตร” และ “การวางแผนหลักสูตร”
เสียก่อนในตอนต้นของบทนี้ได้มีการกล่าวถึงนิยามและมโนทัศน์ของหลักสูตรในหลายทัศนะ
และมีอยู่ทัศนะหนึ่งที่กล่าวว่า หลักสูตร เป็น “แผนการสำหรับการจัดเตรียมชุดของโอกาสในการเรียนรู้สำหรับบุคลที่จะเข้ารับการศึกษา” อย่างไรก็ตามแผนหลักสูตร
สำหรับแต่ละส่วนของหลักสูตรที่มีความเฉพาะเจาะจง
แบบจำลองการพัฒนา/แผนหลักสูตรของเซเลอร์และอเล็กซานเดอร์ประกอบด้วยห้าขั้นตอนคือ 1.
การศึกษาตัวแปรภายนอก (external variables) ได้แก่ภูมิหลังของนักเรียนสังคม
ธรรมชาติของการเรียนรู้ แผนการศึกษาแห่งชาติ
ทรัพยากรและความสะดวกสบายในการดำเนินงานพัฒนาหลักสูตร
ผลการรายงานการวิจัยค้นคว้าต่าง ๆ และคำแนะนำของผู้ประกอบวิชาชีพ 2. การกำหนดเป้าประสงค์ จุดประสงค์ และขอบเขต 3. การออกแบบ หลักสูตร 4.
การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ : การเรียนการสอน และ 5. การประเมินผลหลักสูตร
อเล็กซานเดอร์ แสดงวิธีการวางแผนหลักสูตรระดับชาติของ
เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์เช่นกัน
เมื่อพิจารณาหลักสูตรของเซเลอร์ และ อเล็กซานเดอร์ พบว่ามีการเน้นเกี่ยวกับพื้นฐานเป็นอย่างมาก
เป็นแบบจำลองที่ออกแบบเพื่อแนะนำกระบวนการเลือกกิจกรรมของผู้เรียน ความแกร่งเป็นพิเศษของผู้ออกแบบจำลองนี้คือ
มีความครอบคลุมกว้างขวางในรูปของการเชื่อมโยงหลักสูตรเข้ากับการเรียนการสอน
ด้วยการแสดงให้เห็นว่าวิธีการสอนต่าง ๆ (Teaching methods) และกลยุทธ์การสอน (Teaching strategies) ต่าง ๆ
เป็นผลมาจากการวางแผนหลักสูตร
ความแกร่งที่สำคัญอื่น ๆ แบบจำลองนี้คือ
ทุกขั้นตอนในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรอาศัยหลักพื้นฐานทางสังคม ปรัชญา และจิตวิทยา
แบบจำลองสกิลเบค
แบบจำลองสกิลเบค
แบบจำลองปฏิสัมพันธ์หรือแบบจำลองที่ไม่หยุดนิ่งที่กำหนดโดยสกิลเบคซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตรของประเทศออสเตรเลียเป็นนักการศึกษาที่เป็นที่รู้จักกันดีในปี
ค.ศ.1976 ได้แนะนำวิธีการสร้างหลักสูตรระดับโรงเรียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรโดยอาศัยโรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Curriculum Development:
SBCD) สกิลเบคจัดเตรียมแบบจำลองที่ทำให้ครูสามารถพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมบนพื้นฐานของความเป็นจริง
แบบจำลองดังกล่าวนี้อาจได้รับการพิจารณาว่าเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติซึ่งเป็นความตั้งใจอันแน่วแน่ของสกิลเบค
แบบจำลองปฏิสัมพันธ์หรือแบบจำลองที่ไม่หยุดนิ่ง (เคลื่อนไหว)
เป็นแบบจำลองที่ผู้พัฒนาอาจจะตั้งต้นด้วยองค์ประกอบใด ๆ ของหลักสูตร
และดำเนินไปตามลำดับใด ๆ ก็ได้มากกว่าที่จะตรึงติดอยู่กับขั้นตอน เช่น แบบจำลองเชิงเหตุผล
สกิลเบคสนับสนุนความคิดนี้และกล่าวว่า
เป็นความสำคัญที่ผู้พัฒนาหลักสูตรต้องรับรู้แหล่งที่มาของจุดประสงค์เหล่านั้นและในการที่จะเข้าใจแหล่งที่มานี้มีการวิเคราะห์สถานการณ์
สกิลเบคให้เหตุผลว่าเพื่อให้ศูนย์พัฒนาหลักสูตรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องอาศัยกระบวนการห้าขั้นในกระบวนการหลักสูตร
แบบจำลองความประยุกต์ให้มีความเท่าเทียมกันในกระบวนการหลักสูตร
ระบบการสังเกต และประเมินผลหลักสูตร และการวิเคราะห์ทฤษฎีหลักสูตร
สกิลเบคไม่เห็นด้วยกับลำดับเหตุผลของแบบจำลองเหตุผลว่าเป็นเหตุผลโดยธรรมชาติแนะนำว่าผู้พัฒนาหลักสูตรอาจจะเริ่มต้น การวางแผนหลักสูตรในขั้นๆ ก่อนก็ได้ และจะดำเนินในลำดับใด ๆก็ได้ บางครั้งแบบจำลองนี้ก่อให้เกิดความสับสนคือ
ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนสนับสนุนวิธีการเชิงเหตุผลในการพัฒนาหลักสูตร อย่างไรก็ตาม
สกิลเบคกล่าวว่า
แบบจำลองไม่ได้แสดงนัยของการวิเคราะห์วิธีการและจุดหมายปลายทาง
แต่แสดงนัยในการสนับสนุนทีมหรือกลุ่มผู้พัฒนาหลักสูตรให้พิจารณาข้อความจริงเกี่ยวกับองค์ประกอบและลักษณะของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่แตกต่างกัน เพื่อให้มองกระบวนการว่าเป็นสิ่งมีชีวิต และทำงานในลักษณะของวิธีการเชิงระบบ
เป็นการยากที่จะสรุปแบบจำลองนี้ วิธีที่ดีที่สุด
คือการแจกแจงเป็นตารางตามที่สกิลเบคได้สร้างไว้ คือ
มิติการกำหนดการพรรณนา
ยืนยันว่าแบบจำลองอาจจะได้รับการวิเคราะห์ในรูปขององศา ซึ่งต้องการขั้นตอนตามลำดับเหตุการณ์แบบจำลองที่ค่อนไปการกำหนดมากต้องการนักพัฒนาหลักสูตรที่ติดตามกิจกรรมอย่างเดียว แบบจำลองที่มีข้อกำหนดต่ำ (มีการพรรณนาสูง)
จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าและเน้นว่าอะไรได้บังเกิดขึ้นมากกว่าอะไรควรจะเกิดขึ้นพร้อมกับการพัฒนาหลักสูตร
ส่วนมิติเหตุผล/การไม่หยุดนิ่ง แย้งว่า
แบบจำลองรูปแบบมีเหตุผลมีขั้นตอนและอยู่บนพื้นฐานของจุดประสงค์ในการพัฒนาหลักสูตร
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรอาจจะมีเหตุผลน้อย
และมีปฏิสัมพันธ์มากในการสุ่มแบบไม่มีขั้นตอน ภาพประกอบ 22
ได้จัดเตรียมการพัฒนาหลักสูตรแบบง่ายๆ ด้วยสารตาที่ต่างออกไปเพื่อการเลือกแบบจำลองที่เหมาะสม
ท่านชอบแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรแบบใดมากกว่า
ก็สามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินทางมิติทั้งสองที่ได้พรรณนาแล้วข้างต้น
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของนักการศึกษาอื่นๆ
นอกจากแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรที่กล่าวถึงแล้ว
ยังมีแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของนักการศึกษาและนักพัฒนาการอื่นๆ อีก
เช่น เซเลอร์ และ อเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander) และลีวีส
(Saylor Alexander and Lewis) พริ้นท์ (Print) และโอลิวา (Oliva)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)